ความหมายของโรงเรียนประจำ คือสถาบันให้การศึกษาวิชาความรู้พร้อมทั้งที่อยู่ที่กินที่นอน ดังนั้นจึงมีคำเรียกล้อเลียนต่าง ๆ นานาดังนี้ โรงเรียนกินนอน โรงเรียนดัดนิสัย โรงเรียนปิดกั้นอาณาเขต โรงเรียนจำกัดอิสรภาพ โรงเรียนดัดกิริยามารยาทผู้ดี ชื่อหลังสุดนี้ถูกใจนางเอกสาวชื่อเพิ่มทรัพย์เป็นอย่างยิ่ง และเธอก็เคาพรรักโรงเรียนประจำของเธอเสมอมา

เริ่มเรื่องเมื่อนางสาวเพิ่มทรัพย์ได้รับทราบว่า ได้รับคัดเลือกส่งไปศึกษาวิชาชีพที่วิทยาลัยกรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์ เธอรู้สึกดีใจระคนหวั่นวิตกที่ต้องไปเรียนแข่งขันกับนักเรียนทั่วราชอาณาจักรไทย คุณแม่ของเธอตื่นเต้นมากกว่าลูกสาว เพราะเป็นสถาบันที่ท่านเคยเป็นศิษย์เก่านานกว่ายี่สิบปีแล้ว ดังนั้นการเตรียมตัว จึงครบถ้วนถูกต้องสมบูรณ์แบบ ยกตัวอย่างเรื่องเสื้อผ้า ได้แก่
- ชุดเครื่องแบบปกติจันทร์ถึงศุกร์
- ชุดลำลองวันเสาร์และอาทิตย์
- ชุดนอน ชุดรับประทานอาหาร ชุดกีฬาออกกำลังกาย ชุดพัฒนาความสะอาดสถานที่ *เธอปฏิเสธชุดชอบปิ้งแถวห้างสรรพสินค้าด้วยเหตุผลดีงามว่า ไปก้นหน้าก้มตาเรียนหนังสือด้วยทุนรัฐบาลให้สำเร็จเสร็จสรรพก่อน มีงานทำมีเงินเดือนใช้เองแล้ว จึงค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า

คุณพ่อก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน ท่านเตือนให้เตรียมผ้าอนามัยประจำเดือนสำหรับสุภาพสตรี ท่านเตือนให้ห่อแปรงขัดรองเท้าพร้อมยาขัดด้วยกระดาษสะอาดเรียบร้อย ซึ่งสืบเนื่องให้เกิดเหตุการณ์ประทับจิตสนิทใจมาตราบเท่าทุกวันนี้ คือเมื่ออาจารย์ประจำหอพักทำการสำรวจตรวจตราเครื่องใช้ประจำตัวยักเรียนทีละคนๆๆๆๆ จนกระทั่งมาถึงพ่อลูกคู่ขวัญซึ่งหอบถังน้ำกาละมังซักผ้า เตารีด รองเท้า กระเป๋าเสื้อฟ้า ซึ่งมีห่อวัตถุวางอยู่อย่างสะดุดตา เมื่อคลี่ดูแล้ว ได้เอ่ยคำชมว่า “สมควรกับคำว่ากุลสตรี”

ปีแรก ของชีวิตนักเรียนโรงเรียนประจำ เป็นน้องปีหนึ่ง ก็ต้องมีพี่เลี้ยงปีสองมาให้คำแนะนำกฎระเบียบแบบแผนข้อปฏิบัติ อยู่ดีมีสุขผ่านไประยะหนึ่งก็มีรุ่นพี่มาจีบอีกคนหนึ่ง น้องก็ไม่ขัดข้อง ตามสะดวกนะพี่นะ เดี๋ยวน้องไปอ่านหนังสือค้นคว้าที่ห้องสมุด เดี๋ยวไปอ่านหนังสือพิมพ์รายวันที่ตึกเพื่อน เดี๋ยวไปอ่านนิยายที่แผงขายหนังสือ เดี๋ยวไปทำความสะอาดห้องเรียน เดี๋ยวไปพบผู้ปกครอง แสดงว่าน้องใหม่ไม่เหงา ไม่เฉา ไม่คิดถึงบ้าน อยู่ได้สบายมาก ดังนั้น คุณพี่จึงโบกมืออำลาไปก่อน อยู่ต่อมาได้เดือนหนึ่งน้องใหม่ก็ฉกฉวยโอกาสทำความรู้จักเพื่อนที่มาจาก ๗๓ จังหวัดได้ด้วยดี มีเพื่อนหญิงชื่อใกล้เคียงพระเอกหนังไทย คือ ส….. เธอยิ้มเย็นใจเย็น ขยันทำการบ้านคณิตศาสตร์ เรียนคนละห้อง นอนคนละตึก มองตากันเวลาเดินสวนทางก็พอใจในมิตรภาพนี้แล้ว

ปีที่สองของการอยู่โรงเรียนประจำ นำความสงสัยฉงนสนเท่ห์ประหลาดใจใคร่รู้ให้กับบุคคลรอบข้างว่า เหตุใดคุณเธอจึงไม่เคยขออนุญาตออกนอกบริเวณเลย กินเฉย นอนเฉย เรียนเฉย อยู่ได้ตลอดเวลาสองปี อดรนทนไม่ไหวอาจารย์คนใหม่ก็จับตัวคุยด้วยข้อความต่อไปนี้
1. จะว่าไม่มีเงินออกไปใช้จ่ายซื้อของ ไปดูหนังฟังเพลงก็ไม่ใช่ เพราะบัญชีเงินฝากเต็มอัตรา แถมเป็นที่ไว้วางใจให้ทำหน้าที่เหรัญญิกประจำตึกอีกด้วย
2. จะว่าบ้านนอกเข้ากรุง เงอะงะไปปะอ่างกะปิเขาแตก กลัวเชยกลัวขายหน้า ก็ไม่ไช่ เพราะหน้าตาผิวพรรรรูปร่างเป็นขวัญใจวัยรุ่นได้สบายมาก
3. จะว่าเรียนอ่อน ต้องใช้เวลาทุ่มเทหลายเท่ากว่าบรรดาเพื่อน ๆ ก็ไม่ใช่ เพราะระดับคะแนนผลการเรียนก็ดีทัดเทียมคนอื่น
4. จะว่าขี้อายขลาดกลัวการพบปะประชาชนโลกภายนอก ก็ไม่ใช่ เพราะมนุษย์สัมพันธ์กว้างขวางกับเพื่อนทุกภาคทั่วประเทศไทย พูดจาสนทนาชัดเจนเพราะเรียนเอกภาษาไทย และโทภาษาอังกฤษ
5. จะว่าเก็บกดหมดความควบคุมตัวเอง ก็ไม่ใช่ เพราะได้รับมอบหมายขึ้นเวทีประกวดมารยาทวัฒนธรรมไทย
* แล้วคำตอบที่ทุกคนโล่งใจปานได้ขึ้นสวรรค์วิมานแมนแดนชาวฟ้า ว่ายกภูผาหนาหนักออกจากบ่าไหล่ กับกลายเป็นความเมตตาว่าน่าสงสารอาการเมารถ อาเจียนใจจะขาดรอน ๆ ๆ ๆ ๆ ทุกครั้งที่ต้องโดยสารยานพาหนะทุกรูปแบบ ดังนั้นเดินทางมาเรียนแล้ว ไม่เคยกลับบ้านภูมิลำเนาเลย รอกระทั่งได้รับประกาศนียบัตรจบการศึกษานั่นแล้ว
ปีที่สาม แห่งการเป็นรุ่นพี่เจ้าถิ่นขนานแท้และดั่งเดิม ก็ได้เพิ่มเรื่องขำขันที่ไม่เคยมีใครเล่าบอกให้เตรียมเนื้อยเตรียมตัวตั้งรับมาก่อนเลยแล้วจะกล้าเปิดเผยเฉลยแจ้งแสดงต่อผู้ใดได้หนอ ครั้นจะเก็บความครึ้มอกครึ้มใจไว้เพียงผู้เดียวก็เกรงว่าจะพลาดโอกาสงาม ๆ ๆ ๆ ๆ เพราะคงจะเกิดได้ครั้งเดียวในชีวิตเท่านี้แหล่ะ คือว่า…. เอ้อ ! ….เปิดเรียนวันแรกของปีการศึกษาใหม่ ให้ทุกคนเข้าห้องประชุมใหญ่ ดังนั้นเจ้าของถิ่นปีสามก็นั่งลงตามลำพังอย่างมั่นใจแล้วก้มหน้าก้มตาอ่านวาระการเรียกพบครั้งนี้ ก็มีคนมานั่งขนาบซ้ายขวา ก็เงยหน้าขึ้นยิ้มต้อนรับผู้มาใหม่ด้วยน้ำใสใจงามตามมารยาทสากลทั่วไป แล้วยิ้มสยามคราวนี้ก็มีอันขยายกว้างเกือบจรดใบหูรู้สึกหัวใจพองโตด้วยวาจาโอภาปราศรัยของเพื่อนใหม่ดังนี้ น้องคะ….นั่งคนเดียว มาจากโรงเรียนเดิมที่ไหนคะ ???? เช่นนี้แล้วเจ้าถิ่นก็ต้องเข้าข้างตัวเองทันทีทันใดไวประหนึ่งฟ้าแลบเชียวละ แสดงว่าหน้าอ่อนใสไร้เดียงสาเช่นเดียวกับน้องปีหนึ่งคนอื่นน่ะสิ …เฮ้อ ! …สุขใจ..คนแก่หน้าเด็ก
ปีที่สี่ สุดท้ายแล้วที่ได้อยู่โรงเรียนประจำ เป็นพี่ใหญ่ พี่เบิ้ม พี่สูงสุดในสถาบัน พลันก็บังเกิดความตระหนกตกใจใหญ่หลวงแก่บรรดาหมู่คณะนักศึกษา และบรรดาครูอาจารย์ทั่วถ้วนหน้า คือว่าศิษย์อาวุโสคนนี้ติดคะแนนศูนย์แดงโร่หนึ่งตัว แต่เจ้าตัวเฉย ๆ เอ่ยปลอบใจทุกคนว่า เหตุเกิดภาคเรียนที่หนึ่ง ก็แก้ไขในภาคเรียนที่สองได้เน้อ…..